ลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ทำได้จริงไหม? ในนี้มีคำตอบ
สำหรับหลายคน การลดน้ำหนักมักจะมาคู่กับคำว่า “ออกกำลังกาย” เสมอ แต่ในชีวิตจริงไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้ายิมได้ทุกวัน หรือมีแรงเหลือหลังเลิกงานมาฟิตร่างกายเต็มที่ ถ้าอย่างนั้น…เราสามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องออกกำลังกายเลยจริงๆ หรือ?
คำตอบคือ ทำได้ แต่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องมีวินัยบางอย่างเข้ามาแทนที่ เช่น การควบคุมอาหาร การจัดการความเครียด และการนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งล้วนมีผลต่อฮอร์โมน ความหิว และการสะสมไขมันของร่างกายมากกว่าที่หลายคนคิด
- ควบคุมการกินมากกว่า “งดอาหาร”
แทนที่จะอดอาหารจนหิวโซ การปรับพฤติกรรมการกินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ลดแป้งขัดขาว ลดของหวาน ดื่มน้ำให้มากขึ้น และกินให้ช้าลง สามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกอิ่มเร็วขึ้นโดยไม่ต้องกินเยอะ
- นอนหลับให้ดี น้ำหนักจะลงเอง
งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนที่นอนน้อย มีแนวโน้มจะกินจุกจิกระหว่างวัน และเผาผลาญพลังงานได้น้อยลง การนอนหลับให้พอ (อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน) ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการควบคุมน้ำหนัก
- เครียดน้อยลง น้ำหนักก็ลดได้
ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นให้เราหิวของหวานและของมันๆ มากขึ้น การจัดการความเครียด เช่น ทำสมาธิ เดินเล่นเบาๆ หรือลดเวลาหน้าจอ ก็ช่วยให้ใจสงบและกินน้อยลงได้อย่างไม่รู้ตัว
- ปรับฮอร์โมนให้สมดุล ช่วยให้ลดน้ำหนักง่ายขึ้น
บางครั้งเราไม่ได้อ้วนเพราะกินเยอะ หรือไม่ออกกำลังกาย แต่เพราะระบบเผาผลาญและฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น ความต้านอินซูลิน หรือภาวะดื้อลีปติน
ทุกวันนี้ มีวิธีทางการแพทย์ที่สามารถช่วย “รีเซ็ตความหิว” และทำให้ร่างกายกลับมาควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น เช่น การใช้ยากลุ่ม GLP-1 ที่ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้น กินน้อยลง และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น แม้จะไม่ใช่ทางลัด แต่ก็ถือเป็นตัวช่วยหนึ่งที่เหมาะกับคนที่เริ่มจากศูนย์ หรือเคยพยายามด้วยวิธีอื่นแล้วไม่สำเร็จ
“การลดน้ำหนักไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเข้าฟิตเนส แต่เริ่มจากการเข้าใจร่างกายตัวเองต่างหาก”
บางคนอาจเริ่มจากการเปลี่ยนการกิน บางคนเริ่มจากการนอนให้ดี หรือบางคนอาจเริ่มจากการปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะกับร่างกายตัวเองที่สุด เพราะท้ายที่สุด…สุขภาพที่ดีไม่ได้มีแค่รูปร่าง แต่คือความสบายใจในทุกย่างก้าวของชีวิต
ต่อจากบทความหลักที่ชวนผู้อ่านตั้งคำถามกับตัวเองเรื่องการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ต่อไปเราจะ “เล่าเรื่องโปรแกรมลดน้ำหนักที่มีตัวช่วยจากแพทย์” อย่าง Saxenda, Wegovy และ Mounjaro แบบเรียงลำดับให้ต่อเนื่อง ดูเข้าใจง่าย เป็นกลาง และยังไม่ขายตรง
แล้วถ้าอยากให้ร่างกาย “เริ่มใหม่” อย่างมีตัวช่วยล่ะ?
ทุกวันนี้มีนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถเข้ามาช่วยให้การลดน้ำหนักมีแนวโน้มสำเร็จมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยพยายามมาหลายวิธีแต่ไม่ได้ผล เช่น คุมอาหารก็แล้ว ลองอดมื้อเย็นก็แล้ว หรือบางคนมีภาวะดื้อต่ออินซูลินแบบไม่รู้ตัว
ยากลุ่ม GLP-1 และ GIP/GLP-1 จึงถูกนำมาใช้ในรูปแบบของ “ปากกาลดน้ำหนัก” ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อช่วยให้ร่างกายควบคุมความหิว อิ่มได้นานขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาล และเผาผลาญได้ดีขึ้น
1. Saxenda (Liraglutide)
Saxenda (ลิรากลูไทด์) คือ ยาฉีดลดน้ำหนักที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่และเด็ก (อายุ 12 ปีขึ้นไป) ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ยานี้ทำงานโดยการเลียนแบบฮอร์โมนธรรมชาติที่เรียกว่า GLP-1 ซึ่งช่วยควบคุมความอยากอาหารและการบริโภคอาหาร Saxenda ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อช่วยในการลดและควบคุมน้ำหนัก ถือเป็นรุ่นบุกเบิกในตระกูล GLP-1 ที่มีมานานแล้ว ช่วยลดความอยากอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มไวขึ้น โดยจะฉีดทุกวัน
1.1 Saxenda ทำงานอย่างไร
Saxenda มีสารออกฤทธิ์หลักคือ “ลิรากลูไทด์ (Liraglutide)” เป็นฮอร์โมนที่คล้ายกับฮอร์โมนในร่างกายที่ชื่อว่า GLP-1 ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทำหน้าที่ควบคุมความอยากอาหารด้วยการส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อเพิ่มความรู้สึกอิ่ม ทำให้สามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารได้มากขึ้น
1.2 ใครบ้างที่สามารถใช้ Saxenda?
Saxenda ใช้สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
1.3 Saxenda ใช้งานอย่างไร
- ฉีดวันละ 1 ครั้ง เวลาใดก็ได้ ( แนะนำควรฉีดในเวลาเดียวกันทุกวัน )
- บริเวณที่แนะนําให้ฉีด ได้แก่ หน้าท้อง, สะโพก, ต้นแขน, ต้นขา
- ปริมาณยาเป็น Escalation dose เริ่มต้นที่ 0.6 มิลลิกรัม ค่อยเพิ่มขึ้นจนถึง 3.0 มิลลิกรัม
1.4 Saxenda เหมาะกับใคร?
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่มีปัญหาโรคอ้วน รวมถึงผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) เท่ากับ 30 หรือมากกว่า (ภาวะอ้วน) หรือ ดัชนีมวลกาย (BMI) เท่ากับ 27 หรือน้อยกว่า 30 (ภาวะน้ำ หนักเกิน) และมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ น้ำหนัก (เช่น เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ระดับไขมัน ในเลือดผิดปกติหรือปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ระหว่างนอนที่เรียกว่า ‘ภาวะหยุดหายใจในขณะนอนหลับเนื่องจากการอุดกั้น ทางเดินหายใจ’) ใช้แล้วน้ำหนักจะค่อยๆ ลดลงประมาณ 5-10% ในช่วง 3-6 เดือนแรก (ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละคน)
1.5 จุดที่สามารถฉีด Saxenda ได้
สามารถฉีด Saxenda บริเวณใต้ผิวหนัง (subcutaneous) ได้ 3 บริเวณหลัก ได้แก่ หน้าท้อง (ช่องท้อง), ต้นขา, และต้นแขน ไม่ควรฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ
1.6 ข้อควรพิจารณาอื่นๆ
- ปากกาลดน้ำหนัก Saxenda มีสารออกฤทธิ์ ลิรากลูไทด์ (Liraglutide) ที่ช่วยควบคุมความอยากอาหารและการย่อยอาหาร ซึ่งจะช่วยลดความหิวและทำให้อิ่มนานมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปากกา Saxenda มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายาลดน้ำหนักทั่วไป โดยอาจมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้เล็กน้อย เช่น อาการคลื่นไส้ หรืออาเจียน แต่ไม่รุนแรงเท่ากับยาลดน้ำหนักที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางโดยตรง
- ยาฉีดลดความอ้วน Saxenda เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน โดยเฉพาะผู้ที่มีค่า BMI มากกว่า 30 ขึ้นไป หรือมีค่า BMI มากกว่า 27 ขึ้นไปพร้อมกับมีโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน
2. Wegovy (Semaglutide)
Wegovy คือยาฉีดลดน้ำหนักที่มีตัวยาสำคัญคือเซมากลูไทด์ (Semaglutide) ออกฤทธิ์โดยการเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ที่ช่วยควบคุมความอยากอาหารและทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น โดยทั่วไปจะใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อช่วยลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน เป็นเวอร์ชันใหม่ของ GLP-1 ที่พัฒนามาจากยาควบคุมน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน แต่ในขนาดสูงจะมีผลช่วยลดน้ำหนักได้ดีมาก และที่สำคัญคือ ฉีดแค่สัปดาห์ละครั้ง
2.1 Wegovy ทำงานอย่างไร?
Wegovy ทำงานโดยการเลียนแบบฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาติเพื่อควบคุมความอยากอาหารและระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อรับประทานอาหาร ร่างกายจะปล่อย GLP-1 ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าคุณอิ่มแล้ว Wegovy ช่วยเพิ่มผลของ GLP-1 ทำให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ Wegovy ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
2.2 ใครบ้างที่สามารถใช้ Wegovy?
Wegovy ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในผู้ใหญ่ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนี้ Wegovy ยังได้รับการอนุมัติให้ใช้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปที่เป็นโรคอ้วน
2.3 Wegovy ใช้งานอย่างไร
ในช่วงแรกของการใช้ Wegovy ต้องค่อยๆ ไต่ระดับขนาดยาตามแผนการรักษาเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดี และลดผลข้างเคียง โดยทั่วไปเริ่มจาก
- สัปดาห์ที่ 1-4 : เริ่มจาก 25 mg ต่อสัปดาห์
- จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็น 5 mg, 1 mg และมากขึ้นในระยะต่อไป
ทั้งหมดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อประเมินผลและปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคน
2.4 Wegovy เหมาะสำหรับใคร
เหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักมากกว่า 10%, ไม่อยากฉีดยาทุกวัน
2.5 จุดที่สามารถฉีด Wegovy ได้
ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าท้อง (อย่างน้อย 5 ซม. จากสะดือ) ต้นแขน หรือต้นขาส่วนบนได้ สามารถใช้บริเวณเดียวกันได้ทุกสัปดาห์ แต่ควรเลือกตำแหน่งฉีดที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง
2.6 ข้อควรพิจารณาอื่นๆ
- Wegovy เป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนเริ่มใช้ยา
- Wegovy ควรใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- Wegovy อาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก
- Wegovy ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะทำให้ผอมลงได้ทันที ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
3. Mounjaro (Tirzepatide)
Mounjaro (Tirzepatide) คือยาสำหรับใช้ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก มาในรูปแบบปากกาฉีดยา โดยภายในบรรจุสารสำคัญที่ชื่อว่า Tirzepatide เป็น Dual agonist กระตุ้น GIP + GLP-1 มีคุณสมบัติช่วยควบคุมความหิว กระตุ้นอินซูลิน และชะลอการย่อยอาหาร กระตุ้นความรู้สึกอิ่มจากสมอง ส่งผลให้น้ำหนักลดลง และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือดได้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงมักถูกเรียกในชื่อเล่นว่า “ปากกาควบคุมความหิว”
3.1 Mounjaro ทำงานอย่างไร?
Mounjaro ทำงานโดยเลียนแบบการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติสองชนิดในร่างกาย ได้แก่ GIP (Glucose-dependent insulinotropic polypeptide) และ GLP-1 (Glucagon-like peptide-1) การออกฤทธิ์ของยาช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน, ลดระดับน้ำตาลในเลือด, ชะลอการย่อยอาหาร, และลดความอยากอาหาร ทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดน้ำหนักได้
3.2 ใครบ้างที่สามารถใช้ Mounjaro?
เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีด้วยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว หรือผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน. นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงประโยชน์ในการลดน้ำหนักในผู้ที่มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
3.3 Mounjaro ใช้งานอย่างไร
ในช่วงแรกของการใช้ Mounjaro (Tirzepatide) ต้องค่อยๆ ไต่ระดับขนาดยาตามแผนการรักษาเพื่อให้ร่างกายปรับตัวได้ดี และลดผลข้างเคียง โดยทั่วไปเริ่มจาก:
- สัปดาห์ที่ 1-4 : เริ่มจาก 5 mg ต่อสัปดาห์
- จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็น 5 mg, 10 mg และมากขึ้นในระยะต่อไป
ทั้งหมดนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อประเมินผลและปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคน
3.4 Mounjaro เหมาะสำหรับใคร
เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาใช้ Mounjaro สำหรับการลดน้ำหนักในผู้ใหญ่ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) 30 ขึ้นไป หรือ BMI 27 ขึ้นไปหากมีภาวะสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น โรคเบาหวาน
3.5 จุดที่สามารถฉีด Mounjaro (Tirzepatide) ได้?
3.5.1 หน้าท้อง
- ตำแหน่งยอดนิยม ฉีดง่าย เห็นชัด
- เว้นจากสะดืออย่างน้อย 2 นิ้ว (5 ซม.)
- ฉีดได้รอบ ๆ สะดือ แต่หลีกเลี่ยงตรงกลาง
3.5.2 ต้นขาด้านหน้า
- สะดวกถ้านั่งหรือนอนขาเหยียดตรง
- ฉีดบริเวณตรงกลางของต้นขา ไม่ชิดข้างในหรือข้างนอกเกินไป
3.5.3 ต้นแขนด้านหลัง
- เหมาะสำหรับคนที่มีคนช่วยฉีด
- ถ้าฉีดเองอาจทำลำบากเพราะมองไม่เห็นตำแหน่งชัด
3.6 ข้อควรพิจารณาอื่นๆ
- Mounjaro ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ Mounjaro เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- Mounjaro อาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ, โรคไต, หรือปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีอาการแพ้หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีจัดการ
ตัวช่วยดี แต่ยังต้องมีวินัย
แม้ปากกาลดน้ำหนักจะช่วยให้ควบคุมความหิวง่ายขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนยังคงขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การจัดการความเครียด และการเลือกใช้วิธีที่เหมาะกับร่างกายของเราเองที่ พฤกษาคลินิก เราเชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกและเป็นตัวช่วยที่เหมาะสม ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ คือก้าวแรกของการกลับมารักตัวเองอย่างยั่งยืน